เรื่องนี้ต้องแปะ การกราบไหว้บูชาเทวดาประจำตัว เพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้เทวดา‬‪

คนสมัยใหม่ มักจะทำไม่เป็น ไม่คุ้นกับวิธีการ ลองทำดู พิสูจน์ดู เป็นความเชื่อที่หากใครปฏิบัติถูกต้องมักจะร่มเย็นเป็นสุขคนทั่วไปมักจะคำนึงถึงเทวดา หรือเทพ ชั้นผู้ใหญ่ เช่น พระอินทร์ ท้าวเวสสุวัณ พระอิศวร พระพิฆเนศวร พระอุมา พระพรหม โดยลืมว่า ยังมีเทพ เทวา อีกบางส่วนที่อาศัย อยู่กับเราตลอด อีกทั้งคอยช่วยเหลือเราแทบทุกเวลา
ศาสตร์เหล่านี้คนโบราณ โดยเฉพาะคนทางอิสาน จะไม่ละเลย จะใส่ใจมาก อย่างการปฏิบัติของคนแก่ทางอิสาน มักจะเก็บดอกไม้สีขาว จำพวกดอกพุด ทำเป็นขันห้า บูชาที่หัวเตียง เสมอไม่เคยขาดทุกวันพระ

การกราบไหว้บูชาเทวดาประจำตัว เพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้เทวดา‬
การกราบไหว้บูชาเทวดาประจำตัว เพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้เทวดา‬

ความเชื่อโบราณของพวกเขาที่ว่า บูชาของรักษา ของรักษาก็หมายถึงเทวดาที่รักษาเรานั่นเอง มีอะไรท่านจะคอยดูแล เตือนภัยต่างๆให้
มนุษย์มีกรรม ก็จริง อาศัยอยู่ด้วยกรรม และผลของมัน ไม่ควรไปงมงายเรื่องอื่นก็จริง แต่เรื่องเทวดา เป็นเรื่องมีจริงแน่นอน ไม่ควรละเลย ตราบใดที่เรายังไม่หลุดพ้น เรายังต้องพึ่งทุกๆสิ่งที่มีคุณ เทวดาก็มีคุณ มีโทษ เราจึงต้องทำให้ถูก
****เทวดาที่เกี่ยวเนื่องกับคนมากที่สุด คือ
1.เทวดาประจำตัว ซึ่งมีทุกคนอาจจะมากน้อย แล้วแต่บุญบารมี ของบุคคลนั้นๆบำเพ็ญมา ถ้าเป็นคนทำบุญบ่อย สวดมนต์ภาวนาบ่อย เทวดา จะมารักษาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
2.เทวดารักษาวัตถุ สิ่งของ เช่น รักษาพระเครื่อง วัตถุมงคล ที่เราใช้ รักษาวัตถุมีค่าโบราณ เทวดารักษาสัตว์ที่มีคุณ ยกตัวอย่างเช่น ช้าง ม้า ที่มีลักษณะพิเศษ
3.เทวดารักษาสถานที่ เช่น รักษาบ้านเรือน หรือเรียกว่าผีบ้านผีเรือนนั่นเอง พระภูมิเจ้าที่ เทวดารักษาห้องพระ เทวดารักษาตามวัดพระธาตุเจดีย์
4.รุกขเทพเทวดา ที่อาศัยอยู่ในต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม จำพวก ไม้กฤษณา พิกุล หรือไม้ที่มีอายุยืน มีแก่น
เทวดาจะมาอาศัยอยู่ ซึ่งมีบ้าน หรือวิมานซ้อนอยู่ในต้นไม้นั้นๆ
จึงเห็นได้ว่า เวลาคนไปทำลายต้นไม้ มักเกิดโทษ หรือบางที มีเรื่องเล่าในเขตนั้นๆว่า วันพระ วันโกน มักได้ยิน เสียงดนตรีไทยบ้าง เสียงคนพูดคุยกันบ้าง ชาวบ้านที่ไม่รู้จึงพาลพากันกลัว แล้วลือว่าผีดุ ต่างนานา จริงๆแล้วเป็นเทวดา
ทั้ง สี่ข้อที่กล่าวมานั้น นี่คือเทวดาที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์มากที่สุด
ให้คุณและโทษเราได้มากที่สุด ใครปฏิบัติถูกต้องมักจะร่มเย็นเป็นสุข ใครลบหลู่ ทำไม่ถูกต้องมักจะพบกับความเดือดร้อน
*****วิธีการปฏิบัติ ดูแล หรือเพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้เทวดา
1.อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เราควรไหว้เทวดาประจำตัวด้วยบายศรีปากชามในวันเกิดของเรา เพราะอะไร เพราะว่า เทวดาจะเปลี่ยนการรักษาคนทุกรอบปี ท่านจะเปลี่ยนใหม่ หรือตัดสินใจที่จะไม่ดูแลเราต่อไป ดังนั้นควร มีสักการะ เพื่อขอขมาหากได้ล่วงเกิน และเป็นการขอให้ท่านช่วยดูแลเราต่อไป ไม่ให้ทิ้งอาลัยในเรา ไหว้ท่านไว้ที่หัวเตียงที่เรานอน ประมาณสามคืนจึงเก็บไปจำเริญ บายศรีหมายถึงเครื่องสูงที่ใช้สักการะแต่โบราณ เทวดาชอบมากที่สุด ในบรรดาของไหว้ หากไม่นับของที่กินได้
2.ถ้าจะให้เกิดความขลังมากหน่อย ซื้อพวงมาลัย ไหว้หัวเตียงที่เรานอน ทุกวันพระ หรือเก็บดอกไม้ ห้าคู่ ใส่พานไว้หัวเตียง เพื่อเป็นการสักการะเทวดาที่รักษาเวลาเรานอน และบูชาเทวดาประจำตัวเรา วิธีการนี้คนอิสานโบราณ จะนิยมทำมากที่สุด เวลามีเรื่องอะไร เทวดาจะมานิมิตบอกทันที และจะฝันแม่นมาก จากนิมิตเทวดา แต่ห้ามคือคนที่ไม่ใช่คู่ครองเรา ห้ามขึ้นเหยียบหรือนอนบนเตียงเด็ดขาด ลูกหลานก็ไม่ได้
3.หาโอกาสทำบุญสังฆทาน ผ้าป่า กฐิน บุญใหญ่ๆ เช่น หล่อพระพุทธรูป บุญสร้างสะพาน สร้างสาธารณะกุศลที่คนได้ใช้มากๆ แล้วอุทิศกุศลให้เทวดา แล้วเทวดาเหล่านี้จะมีฤทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ จะช่วยดูแลเราได้มากขึ้น
4.การบวงสรวงเทวดา ด้วยของกินต่างๆ เวลาทำก็ไม่ยาก เอาช่วงเราสะดวก เทวดาในสี่ข้อที่กล่าวมานั้น ส่วนใหญ่ ท่านกินได้ทุกเวลา ยกเว้น วันพระ บางองค์ท่านอาจจะถือศีลแปด งดกินอาหารในเวลาวิกาล
เราจึงไหว้ท่านได้ทุกเวลา การไหว้ด้วยของหยาบ จะเชื่อมระหว่างหยาบกับละเอียด ทำให้เทวดาช่วยงานเราในโลกหยาบได้มากขึ้น เพราะเทวดานั้นอยู่ในโลกทิพย์ ถ้าขาดตัวเชื่อม เขาจะทำงานยาก
*****ของที่เทวดานิยมกิน แต่โบราณ สืบมาจนถึงปัจจุบัน ก็เป็นจำพวก ผลไม้ เผือกมัน ผลไม้ เราเลือกเอาสุก สวยงาม ไร้ที่ติ
กี่ชนิดก็ตามกำลังทรัพย์ของเรา น้ำหวานชนิดต่างๆ เช่น น้ำแดง น้ำเขียว น้ำผลไม้ และจำพวกขนมหวานต่างๆ
ส่วนอาหาร คาวอย่างอื่นนั้น จะแล้วแต่ประเภทของเทวดา
หากเราจะไหว้รวมเรียกท่านทั้งหมดมารับ ก็จัดให้ครบไปเลย
เป็ด ไก่ หัวหมู กุ้ง ปู ต้มหรือนึ่งสุกแล้ว
*****ตามธรรมเนียมแต่โบราณแล้ว ท่านจะนิยม เอาของบวงสรวงทั้งหมด ใส่ถาด หรือจาน ที่ไม่เคยใช้มาก่อน หากเคยใช้มาแล้ว ต้องเอาใบตองรองก่อน เพราะเทวดา ท่านจะรังเกียจภาชนะ ที่เคยใช้มาแล้ว ถึงล้างดีสะอาด ท่านจะถือว่า มีเศษอาหารเก่าติดอยู่ จึงต้องใช้ใบตอง เพราะใบตองเป็นภาชนะที่ใช้ครั้งเดียวแล้วควร ตั้งของทั้งหมด วางบนโต๊ะที่ปูผ้าขาวอีกที
ถ้าไม่ปูผ้าขาว มันจะหมายถึงให้ผีธรรมดา หรือผีเร่ร่อนกิน ให้เทวดาต้องผ้าขาว
เราไหว้เทวดาชั้นผู้น้อย แบบนี้ ใช้โต๊ะ ไม่สูงมากก็ได้ หากเทพชั้นสูงๆ ต้องใช้โต๊ะที่ขาสูงขึ้นมาจนถึงระดับ ตาของคนไหว้
โบราณเขาเรียกตั้งศาลเพียงตา คือไหว้เทวดาแบบครบสูตร ทั้งสิบหกชั้นฟ้า สิบห้าชั้นดิน
แต่เราเอาพอประมาณ เพราะ เทวดา สี่ประเภท ตามที่กล่าวมา ท่านไม่อยู่สูงมาก และไม่พิธีรีตองมาก หากแต่เราเองต้องให้เกียรติท่านด้วย
เทวดาที่รักษาวัตถุ และอยู่ตามต้นไม้ ท่านชอบกินของคาว เช่น ไก่ หัวหมู ส่วนประเภท อื่นๆ นิยมผลไม้
การไหว้ บวงสรวงทำเองได้ง่ายๆ ไม่ต้องไปเชิญอาจารย์ที่ไหนมาทำให้เสียเวลา ทั้งเขาและเราเพราะผู้เขียนเองเคยเจอมา อาจารย์ผู้ทำพิธีบวงสรวงนั้น เชิญแต่ครู และเทวดาของตนเองมากินเครื่องสังเวยบูชา ถือว่าเอาเปรียบมาก ของไหว้ก็ของเราแท้ๆ แต่เวลาเขาเชิญเอาเปรียบมากเชิญแต่ครูตนเองมารับ ในบทสวดไม่เชิญเทพเทวดา ที่จำเป็นจริงๆเลยมารับ สุดท้ายใครได้พร ก็อาจารย์ผู้บวงสรวงแหละได้รับ ส่วนเราคนลงทุนซื้อของไหว้ขาดทุนมาก
เวลาเราเตรียมของครบ ก็ไหว้พระสวดมนต์ สมาทานศีลก่อน จากนั้นจึงสวดชุมนุมเทวดาที่เป็นบาลี ใช้การอ่านเอาก็ได้ จากนั้น แล้วก็เชิญท่านเป็นภาษาที่เราพูดนี่แหละว่า ขอเชิญเทวดาที่รักษาข้าพเจ้าทั้งหมด รักษาบ้านเรือนที่อาศัยก็ดี รักษาวัตถุทุกชิ้น รุกขเทวดา ทั้งหมดในเขตนี้ รวมถึงเทวดาทุกท่าน ที่อยู่ในเขตนี้ ให้มารับเครื่องบูชาสังเวย
จากนั้นเราก็ขอพรท่าน ให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข จากนั้น ก็จุดธูป ปักลงที่ถาดอาหารเหล่านั้น ถาดละหนึ่งดอก
รอจนธูปไหม้หมด เราจึงลาของไหว้ เวลาไหว้จะสวดบาลี หรือว่าไทยก็ได้ บอกท่านว่า ลูกขอลาของอันเป็นมงคลเหล่านี้ จากนั้น จึงหยิบบางส่วน ใส่ถาดเล็กๆ ปักธูป หนึ่งดอก ไปวางนอกเขตบ้านเรา หรือทางสามแพร่ง เป็นการให้ทานสัมภเวสีจากนั้นของที่เหลือทั้งหมด แจกจ่ายกันไปกิน เป็นสิริมงคล ลืมบอกไปว่า ถ้าไหว้ของกิน ต้องมีบายศรีปากชามด้วยทุกครั้ง ใช้หนึ่งคู่ ถ้าเราไหว้ของคาวด้วย ต้องมีไข่บนยอดบายศรี ก็คือ ไข่ต้มสุกแกะเปลือก จากนั้น เอาเสียบบนยอดบายศรีคนโบราณจะทราบดี คนสมัยใหม่ มักจะทำไม่เป็นไม่คุ้นกับวิธีการ
บายศรี ไหว้เสร็จเอาไปจำเริญ ก็คือเอาไปลอยน้ำ หรือทิ้งไว้โคนต้นไม้ ห้ามนำไปเผาไฟ การบวงสรวงแบบนี้ หากทำได้ อย่างน้อยต้นปี และปลายปี กิจการ หรืองานของท่านจะเจริญรุดหน้าไวมากผิดปรกติ เพราะเทวดา ช่วยงานเต็มที่ นี่ไม่ต้องเชื่อให้ลองทำดูก่อนหรือใครย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ทำได้แบบนี้จะดีที่สุด เทวดาจะเมตตาเอ็นดูเป็นพิเศษ หากไม่สะดวก เข้าไปอยู่ใหม่ ก็ไหว้ท่านด้วยการจุดเพียงธูปบอกกล่าว ก็เพียงพอแล้ว เอาตามกำลังเราไม่เดือดร้อน เล่าวิธีการทำมาก็ไม่น่าจะยาก สมัยก่อนผู้เขียนเอง ไม่เคยเชื่อเลยเรื่องพวกนี้ พอฝึกสมาธิปฏิบัติไปเรื่อยๆ รวมทั้งประสบการณ์ ทางโลกทิพย์ที่สัมผัสมาตลอด จึงทราบ และเขียนขึ้นมาเพื่อให้ได้ทำกันให้ถูก จะเกิดคุณประโยชน์เรื่องพรรค์นี้ ไม่เชื่อ ไม่เป็นไร ลองทำดูก่อนพิสูจน์ดู เมื่อได้ผล ท่านจะทราบว่า ไม่ใช่เหลวไหลเลย แต่เป็นการกระทำของคนรู้ในศาสตร์ลึกลับ
คนบางคนนั้น เวลาที่อยู่ในช่วงที่วิบากกรรมไม่ดีนั้นส่งผล ก็จะรู้สึกว่าตนเองนั้นพบกับความเดือดร้อนหรือต้องเจอกับเคราะห์กรรมใดๆ ที่หนักและรุนแรงน้อยบ้างหนักบ้าง แตกต่างกันตามที่การกระทำที่ทำมา แต่มีหลายครั้งที่ ดูเหมือนจะไม่รอดแน่ แต่ทำไมถึงรอด และผ่านเคราะห์กรรมนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด หลายท่านเคยสงสัยในเรื่องนี้หรือไม่
บางคนก็อาจจะรู้หรือนึกเอาว่า ต้องเป็นเพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวดาประจำตัวคอยช่วยเหลือ หรือแม้แต่เวลาที่จะมีความสุขใดๆ ก็มักจะคิดว่าเป็นเพราะเทวดาประจำตัวของท่านนั้นบันดาลมาให้
****เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะทุกคนนั้นมีเทวดาประจำตัว
แต่เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ซึ่งเราต้องรู้ก่อนว่า เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นหรือเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นนั้น เหตุมาจากกรรมที่เราทำไม่ได้มาจากอำนาจของเทวดาแต่ประการใด ถึงแม้ท่านจะมีความศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีอำนาจก็จริง แต่ท่านไม่มีหน้าที่จะมาเบี่ยงเบนกรรมของผู้ใดทั้งสิ้น
*****ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม
ไม่ว่าเทวดาหรือใครทั้งนั้น แม้แต่พระพุทธเจ้าของเรายังต้องยอมรับกรรมทั้งดีและไม่ดี จนพระพุทธองค์หลุดพ้นจากการเวียน ว่าย ตาย เกิดไปแล้ว กรรมทั้งหมดจึงยุติเพราะไม่รู้ว่าจะไปส่งผลให้กับใคร
เทวดาท่านทำเพียง จะช่วยในการดลใจให้ทำดีหรือไม่ให้ทำความชั่ว หรือคอยอวยพรให้เราพบกับสิ่งที่ดีดีในชีวิต ปกป้องดูแลไม่ให้ดวงวิญญาณอื่นมาทำร้ายเราโดยไม่มีเหตุผล
สำหรับเทวดาที่เราเข้าใจกันว่าเป็นเทวดาประจำตัวนั้นจริงๆ แล้ว ท่านไม่ได้อยู่คอยติดตามตัวเราหรือสิงอยู่ในตัวเราอย่างที่หลายคนๆ เข้าใจ
เพราะการเกิดเป็นเทวดาตามที่ได้กล่าวมานั้น จะต้องบำเพ็ญบุญกุศลคุณงามความดีมากมายกว่าจะได้ไปบังเกิดในภพภูมิที่เป็นสุขอย่างนั้น แล้วลองนึกภาพตามดูว่าถ้าจะให้เทวดาเหล่านั้นท่านต้องมาคอยตามดูแลเป็นองครักษ์คอยพิทักษ์ปกปักรักษาคนที่เป็นมนุษย์อยู่ตลอดเวลา ก็คงจะเป็นไปไม่ได้
เพราะตัวท่านเองก็ต้องเร่งสร้างบุญบารมีและมีกิจหน้าที่เหมือนกันเพื่อที่จะเลื่อนขั้นไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่า อย่างที่บอกแล้วว่าเทวดาท่านก็ต้องมีหน้าที่คือ เทวดาบางองค์ท่านต้องมีหน้าที่ไปเฝ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไปเฝ้าวัด เฝ้าพระพุทธรูป ศาลหลักเมือง ไปคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรมและมีคุณงามความดีที่ต้องปกป้องรักษา หรือถ้าไม่มีหน้าที่ ท่านก็ต้องบำเพ็ญบุญบารมีไปหรืออาจะไปเที่ยวสวรรค์เล่นก็เป็นเรื่องของท่าน
และที่สำคัญภพภูมิของท่านหรือสวรรค์ของท่านนั้นอยู่สูงกว่ามนุษย์ ครูบาอาจารย์หลายท่านกล่าวต้องกันว่า ร่างกายของมนุษย์นั้นเหม็นมาก เพราะกินสัตว์ทุกประเภทและทำผิดศีลมากมาย เทวดาที่มีบุญบริสุทธิ์นั้นไม่อยากเข้าใกล้ และอยู่กับคนที่เหม็นไม่ได้แน่นอน ต้องอยู่ให้ห่างมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเทวดามาสิงในร่างกายคน
แต่หลายคนเชื่อว่า ยังไม่แน่ใจว่าเทวดาประจำตัวนั้นมีจริงหรือเปล่า ขออย่าพึงปฏิเสธหรือยอมรับให้ยึดหลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์เป็นที่ตั้ง อย่าเพิ่งเชื่อในเรื่องใดๆ ขอให้พิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง ถ้าเราพูดกันถึงเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้ คนที่จะตอบเราได้ดีที่สุดก็คือ ตัวเราเองครับ ว่าเรามีความรู้สึกหรือเคยได้สัมผัสสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตแต่หาที่มาไม่เจอ หรือเรื่องเหนือธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์นั้นยังพิสูจน์ไม่ได้
อย่าลืมนะครับว่า วิทยาศาสตร์นั้นเป็นแค่ศาสตร์ชนิดหนึ่งที่มีหลายศาสตร์มากมายทั่วโลก ที่พยายามจะตอบปัญหาของธรรมชาติให้คนได้รู้ได้เข้าใจ ถึงที่ไปที่มา แต่มีเรื่องราวมากมายที่วิทยาศาสตร์นั้นยังตอบไม่ได้ หรือหาเหตุผลไม่ได้
แต่ทว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าไม่ได้มีอยู่จริง
ขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง ในเรื่องของการทำสมาธิและพลังจิตนั้น ที่ศาสนาพุทธได้ค้นพบและประกาศออกไปเพื่อความสุขจริงของมวลสรรพสัตว์ทั้งหลายกว่า 2,500 ปี ถึงประโยชน์สุขมหาศาลที่คนที่ปฏิบัติแล้วจะได้รับทั้งทำให้มีจิตใจกล้าแกร่ง เกิดปัญญาแก้ทุกปัญหาได้ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง รักษาและฟื้นฟูร่างกายที่เจ็บป่วยได้แบบที่พระอริยสงฆ์ท่านใช้รักษาตัวกันบ่อย เชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะเคยได้ยินกันมาบ้าง
เรื่องแบบนี้วิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาค้นพบเมื่อร้อยกว่าปีนี้ที่ค้นพบว่าการทำสมาธิในขั้นที่ลึกแล้ว จะทำให้อวัยวะภายในร่างกายทำงานได้ช้าลงและดีขึ้น อีกทั้งช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ หัวใจก็แข็งแรง เป็นต้น
และเรื่องการเกิดของสิ่งมีชีวิต พระพุทธเจ้าค้นพบมานานเป็นพันๆ ปี มีบรรจุอยู่ในพระไตรปิฎกเรื่องการเกิดของเหล่าสรรพสัตว์ นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะมาค้นพบการเกิดของสัตว์ตัวเล็กๆ บางชนิด เชื้อโรคต่างๆ เมื่อไม่กี่ปีนี่เอง เรื่องนี้จึงพอจะยืนยันได้อีกเรื่องว่า ในบางเรื่องที่เหนือความเข้าใจ วิทยาศาสตร์ยังเข้าไปไม่ถึงแน่นอน
และการมีอยู่ของเทวดาที่อยู่คนละภพภูมิหรือคนละชั้น แล้วการลงมาช่วยเหลือมนุษย์นี่ก็มีความเป็นไปได้ การช่วยเหลือกันข้ามภพข้ามชาตินั้น ที่สัตว์อีกชั้นหนึ่งไปช่วยสัตว์อีกชั้นหนึ่ง (เทวดา ดวงวิญญาณที่เราเรียกว่าผี มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ต่างล้วนเป็นสัตว์ด้วยกันทั้งนั้น แตกต่างที่คำเรียกตามภพภูมิเท่านั้น)
ก็เหมือนกับการที่เราเป็นมนุษย์อยู่แล้วไปช่วยสัตว์เดรัจฉานอย่างเช่น คนไปเก็บแมวหมาจรจัดมาเลี้ยง การไปช่วยช้างเคราะห์ร้ายที่ตกบ่อให้ขึ้นมาจากหลุมหรือท่อระบายน้ำ หรือการช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของสัตว์หลายๆ ประเภทอย่างนี้เป็นต้น
คือแม้จะอยู่ภพชาติเดียวกันแต่เป็นการช่วยเหลือต่างภูมิกัน คือเราเป็นมนุษย์มีภูมิสูงกว่าสัตว์เดรัจฉานลงไปช่วยมัน ซึ่งสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ว่านี่เป็นฝีมือของมนุษย์ที่มาคอยช่วยเหลือ
เหล่าเทวดาก็เช่นเดียวกันครับ ท่านอยู่ในภพภูมิที่ทั้งแตกต่างและอยู่สูงกว่าอาจจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับมนุษย์ได้ เทวดาท่านก็มีสังคมของท่านเหมือนกันในบางชั้นสวรรค์ มีทั้งเพื่อน มีสามีภรรยา มีเจ้านาย มีบริวารที่มีความรักผูกพันกัน
เหล่าญาติหรือคนรู้จักของท่านอาจจะจุติมาเกิดในโลกมนุษย์ รวมถึงความห่วงใยในญาติที่ครั้งหนึ่งที่ท่านเคยเกิดมาเป็นคนก่อนที่จะมาเป็นเทวดา
เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านก็ยังมีกิเลสมีความห่วงหาอาทรเหมือนกับคนเรา อาจคอยดูแลสอดส่องทุกข์สุขโดยการรับรู้ด้วยความเป็นทิพย์เพราะท่านมีหูทิพย์ ตาทิพย์หรือความรู้สึกอันเป็นทิพย์ เทวดาท่านก็จะรู้ขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครมาบอกว่า เกิดเรื่องร้ายแรงหรือมีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นกับญาติมิตรที่รักของท่าน
เทวดาท่านมีแต่กายทิพย์ไม่มีกายเนื้ออย่างคนเรา การให้ความช่วยเหลือของท่านส่วนใหญ่จะเป็นการ “ดลจิตดลใจ” หรือโน้มน้าวให้ญาติมิตรเหล่านั้นให้เปลี่ยนจิตที่เป็นอกุศล ที่กำลังจะตกไปอยู่ในอบายภูมิให้กลับกลายเป็นจิตกุศลและมีความสุขขึ้นได้ เช่น หากญาติมิตรที่กำลังโกรธจัดเพราะเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ท่านก็แผ่เมตตาส่งบุญกุศลลงมาดลจิตใจให้สงบเยือกเย็นลง
เคยหรือเปล่าครับที่เวลาที่กำลังโกรธใครหรือกำลังร้อนใจอะไรอยู่กับสิ่งนั้นมากๆ จู่ๆ ก็รู้สึกเยือกเย็นลง ได้อย่างน่าประหลาดเช่นเมื่อได้ก้าวเข้าไปสู่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ อย่างเช่นในวัดวาอารามใหญ่ๆ พอเข้าไปแล้ว รู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นสว่างไสว
ทำให้จิตที่กำลังขุ่นข้องหมองใจนั้นก็กลับสงบเยือกเย็นลงเป็นลำดับ ซึ่งเป็นเพราะเทวดาที่อยู่ในบริเวณที่แห่งนั้นได้แผ่เมตตาลงมาให้ทำให้รู้สึกสงบเย็นลง และค้นพบวิธีการแก้ปัญหาหรือพบกับคนที่จะช่วยเหลือให้รอดพ้นไปได้จากปัญหาเหล่านั้น
***ขั้นตอนการบูชาให้ได้ผลอย่างแท้จริง
1.ทำตนเองให้เป็นคนดี
ก่อนอื่นต้องรู้ว่า การเกิดเป็นเทวดาต้องมาจากบำเพ็ญบารมีอย่างมาก เทวดาจึงมีคุณงามความดีมากกว่ามนุษย์หลายเท่า การจะหวังให้เทวดามาดูแลมนุษย์คนใดคนหนึ่งจึงเป็นไปไม่ได้ แต่ที่มนุษย์เรายังรู้สึกว่ามีความเกี่ยวข้องหรือสัมผัสถึงเทวดาได้อยู่อาจเป็นเพราะมีความสัมพันธ์กันมาในอดีต
การที่เทวดาจะมาช่วยเหลือหรือคอยติดตามนั้นเทวดาจะคอยตามโมทนาคุณงามความดีของคนที่ได้สร้างบุญกุศลให้และดลจิตดลใจให้กระทำความดี ที่จะน้อมนำไปสู่ความสำเร็จหรือภาษาชาวบ้านก็คือ เรียกว่า “มอบโชคลาภ” ให้นั่นเอง
แปลว่าการที่เราจะได้รับแรงสนับสนุนหรือส่งเสริมใดๆ ให้ประสบความสำเร็จ คนที่จะไปขอความช่วยเหลือก็ต้องมีคุณงามความดีมากพอด้วยไม่อย่างนั้นเทวดาท่านก็ช่วยไม่ได้
การที่จะขอให้ท่านช่วยเหลืออะไรนั้น มีเคล็ดสำคัญมากก็คือ เราผู้ซึ่งเป็นผู้ที่ขอต้องทำการ “เชื่อมบุญกุศลคุณงามความดีส่งไปให้ท่านเสียก่อน” เพื่อแสดงความเคารพยอมรับและให้กระแสบุญนั้นผูกพันกัน เมื่อจะมีเหตุการณ์ใดท่านจะได้ช่วยเหลือหรือดลใจได้
****การเชื่อมบุญคืออะไร ทำไมต้องเชื่อม ?
การเชื่อมบุญหากจะแปลความให้พอเข้าใจง่ายๆ ก็คือ การที่เอาบุญนั้นเป็นตัวเชื่อมให้ของสองสิ่งหรือมากกว่านั้นเข้าหากัน เหมือนดังคนที่เคยมีบุญร่วมกันมาตั้งแต่ครั้งในอดีต ตอนแรกๆ คนเราเมื่อยังไม่รู้จักกันเดินสวนกัน เจอหน้ากันอย่างดีก็ได้แค่ยิ้มแล้วก็เดินผ่านเลยไป
เชื่อว่าต้องมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ทำให้รู้จักกันถึงจะมาพูดคุยกันได้ อย่างน้อยก็คำทักทายว่า สวัสดี หรือการช่วยเหลือกันเล็กๆ น้อยๆ สักอย่างทำให้ ต่างคนต่างจำกันได้ พอเวลาพบกันครั้งต่อไปก็กลายเป็นคนรู้จักหลังจากนั้น พอทำความสนิทสนมกันมากเข้าก็กลายเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ต่อกัน พัฒนาจนไปเป็นเพื่อนสนิท หรือไม่ก็กลายเป็นแฟนเป็นคู่ชีวิตกัน
เรื่องของเทวดานี่ก็เหมือนกันครับ ตอนนี้เราอาจหาอ่านข้อมูลต่างๆ จากหนังสือหลายๆ เล่ม ว่าท่านมีลักษณะอย่างไรอยู่สวรรค์ชั้นไหนรายละเอียดเป็นอย่างไร แต่เราก็ยังไม่ได้ทำความรู้จักท่านจริงๆ ท่านก็มองเห็นเราเหมือนกัน แต่ท่านก็ยังไม่รู้จักเรา คนไม่รู้จักกันจะให้มาช่วยเหลือเกื้อกูลกันก็คงจะเป็นไปได้ยาก
เทวดากับเรา อาจจะยังคงเป็นคนแปลกหน้าหรือญาติห่างๆ ที่ความรู้สึกผูกพันใกล้ชิดยังไม่ถึงขั้นที่พร้อมจะช่วยเหลือหรือเต็มใจช่วยในเรื่องสำคัญบางอย่างได้
เพราะฉะนั้น “การเชื่อมบุญ” นี่แหละที่จะเป็นตัวที่สามารถทำให้ เราสามารถรู้จักกับเทวดาได้และท่านก็จะรู้จักเรา กระชับสายใยแห่งความผูกพันและสายในแห่งบุญทั้งบุญเก่าและบุญใหม่เข้าหากัน เพื่อให้บุญนั้นมีกำลังพอที่จะส่งผล ช่วยให้พบกรรมดีได้เร็วขึ้นและช่วยคลายวิบากกรรมไม่ดีได้
ในเมื่อเรายังเป็นมนุษย์ยังอยู่ในโลกมนุษย์ ต่างภพภูมิกับท่าน ด้วยพลังบุญเท่านั้นที่จะทำให้มนุษย์ติดต่อสื่อสารและมีบุญที่ร่วมกันกับเทวดา ยิ่งเราเป็นผู้ชอบทำบุญกุศลแล้ว เทวดจะพึงพอใจมากถ้าลองพิจารณาคำสอนของท่านกุมารกัสสปะเถระที่ท่านสั่งสอนพระเจ้าปายาสิธิราชว่า
“เทวดานั้นไม่ชอบมาอยู่ใกล้มนุษย์ เพราะว่ากลิ่นสาบกิเลสที่มีในมนุษย์มีมากเกินไป ท่านจึงไม่อยากมาเข้าใกล้เหมือนคนที่ตกบ่อโคลนมาใหม่ๆ มาเจอกับคนที่เพิ่งอาบน้ำปะแป้ง หอมๆ มาใหม่ๆ แล้วต้องมาเจอกัน”
อีกเรื่องนี้ที่สำคัญมากคือ หากเราอยากจะรู้จักและเข้าใกล้เทวดาได้ และทำให้ท่านเข้าใกล้เราได้ก็ต้องทำตัวให้เป็นผู้มีบุญมากเหมือนกับเทวดาที่ต้องมีบุญมากไปด้วย แม้ว่าจะยังเป็นไม่ได้ในทันทีแต่อย่างน้อยก็ต้องพยายามทำให้ใกล้เคียงความเป็นเทวดาให้มากที่สุด พอเราเป็นคนดีมีคุณธรรมที่ใกล้เคียงหรือเสมอพอกับท่าน ก็จะทำให้รู้จักกันได้ง่ายขึ้น
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี แห่งวัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย ท่านได้กรุณามอบธรรมะข้อหนึ่งที่จะเป็นแนวทางที่ทำให้คนเราใกล้เคียงกับความเป็นเทวดา เรียกว่า “เทวตานุสสติ”
คำว่า “เทวตานุสติ” หมายความว่า การระลึกถึงธรรมอันทำบุคคลให้เป็นเทวดา คนเราทุกคนย่อมอยากเป็นคนดี อยากเป็นเทวดา หรือแม้กระทั่งเป็นไปถึงชั้นอินทร์ชั้นพรหมมีความบริสุทธิ์ พ้นจากทุกข์ทั้งหลายไปเพื่อให้ได้เสวยแต่ความสุขเพียงอย่างเดียว
แต่เมื่อเราได้เกิดมาได้เพียงเป็นเพียงมนุษย์ ก็ต้องทำความเข้าใจและพยายามที่จะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ มนุษย์โดยสมบูรณ์คือ มีทั้งอวัยวะครบบริบูรณ์ทุกประการไม่เป็นบ้าใบ้ หูหนวก ตาบอด หรือเสียจริตผิดความเป็นมนุษย์ไป




ขอให้ตั้งหลักฐานมนุษย์ที่ได้แล้วนี่ให้มั่งคงไว้ก่อนแล้วจึงค่อยนำธรรมะที่เป็นเครื่องตกแต่งให้กลายเป็นหรือใกล้เคียงกับความเป็นเทวดาต่อไป
คำพระท่านในภาษาบาลีจึงเรียกว่า “มนุสโส” เมื่อเกิดขึ้นมาเป็น มนุสโส แล้วจึงค่อยพัฒนาเป็น “มนุสสะเทโว” ต่อไป ถ้าไม่เป็น “มนุสโส” เสียก่อนแล้ว ก็เป็น “มนุสฺสะเทโว” ไม่ได้
เปรียบง่ายๆ เหมือนกับคนที่มีอาชีพต่างๆ ถ้าทำการค้าขายก็เรียกพ่อค้าแม่ค้า ถ้าทำไร่ทำนา ก็เรียกว่าชาวไร่ ชาวนา ถ้าทำราชการก็เรียกว่าข้าราชการ ฉะนั้น การที่เป็นเทวดาได้ ก็เพราะมีธรรมอันทำให้เป็นเทวดาธรรม นั้น คือ “หิริ” ความละอายแก่ใจในการทำชั่ว และ “โอตตัปปะ” ความเกรงกลัวต่อบาปนั่นเอง
ธรรมะ 2 ข้อนี้ มีความสำคัญ ผู้ที่มีความละอายต่อบาปและกลัวมัน จะงดเว้นการทำชั่วทุกประการ เพราะระลึกได้อยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นการกระทำทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ ก็ตาม แม้แต่เพียงคิดเฉยๆ ว่าจะทำความชั่วอะไรสักอย่าง

ขอบคุณที่มาข้อมูลจาก FB: เปาบุ้นจุ้น